วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556

การใช้ภาษาแสดงออกทางความคิด
     มนุษย์สามารถใช้ภาษาแสดงออกทางความคิดของตนได้ในลักษณะต่าง ๆ ดังนี้ คือ
          1.ใช้ภาษาแสดงเหตุผล
          2.ใช้ภาษาแสดงทรรศนะ
          3.ใช้ภาษาในการโต้แย้ง
          4.ใช้ภาษาในการโน้มน้าวใจ
การใช้ภาษาแสดงเหตุผล 
ความหมายของคำว่าเหตุผล
     เหตุผล หมายถึง ความคิดอันเป็นหลักทั่วไปกฎเกณฑ์ รวมทั้งข้อเท็จจริง ที่สนับสนุนข้อสรุป ข้อวินิจฉัย ข้อตัดสินใจ หรือข้อยุติ เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เนื่องจากเราใช้ เหตุผล ในการสนับสนุน ข้อสรุป เราอาจจะเรียก เหตุผล ว่าข้อสนับสนุนก็ได้ และข้อสรุป เป็นคำกลาง ๆ เป็นศัพท์เฉพาะ ที่เกี่ยวกับการแสดงเหตุผล ในภาษาที่ใช้กันอยู่ตามปกตินั้นอาจเรียกว่า ข้อสังเกต,การคาดคะเน, คำวิงวอน, ข้อคิด, หรือการตัดสินใจ ก็ได้
โครงสร้างของการแสดงเหตุผลและภาษาที่ใช้ในการแสดงเหตุผล
     1. โครงสร้างของการแสดงเหตุผล ประกอบด้วย
            - ตัวเหตุผล หรือเรีรยกว่า ข้อสนับสนุน
            - ข้อสรุป

     2. ภาษาที่ใช้ในการแสดงเหตุผล
มี 4 ลักษณะดังต่อไปนี้
           2.1ใช้สันธานที่จำเป็นบางคำ มักเรียงเหตุผลไว้ก่อนสรุป โดยใช้สันธาน จึง เพราะ เพราะว่า เพราะฉะนั้น เพราะ……จึง หรืออาจเรียงข้อสรุปไว้ก่อนเหตุผล โดยใช้คำสันธาน เพราะ เพราะว่า ทั้งนี้เพราะว่า
           2.2 ไม่ใช้สันธาน แต่เรียบเรียงข้อความโดยวางส่วนที่เป็นเหตุผล หรือส่วนที่เป็นข้อสรุปไว้ให้เหมาะสม  ผู้ฟังก็จะรับสารได้ว่า ข้อความนั้นเป็นการแสดง เหตุผล อยู่ในตัว เช่น ฉันจะไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคใด ๆ เป็นอันขาด ฉันได้รับการสั่งสอนจากคุณแม่ให้สู้เสมอ จะเห็นว่า วรรคแรก เป็นข้อสรุป วรรคที่สอง เป็นเหตุผลที่สนับสนุนข้อสรุป
           2.3 ใช้กลุ่มคำเรียงกันบ่งชี้ว่า ตอนใดเป็นเหตุผล หรือข้อสรุป เมื่อต้องการชี้เหตุผลและข้อสรุป ให้ชัดแจ้งลงไป ก็ระบุไปว่า ข้อสรุป ข้อสรุปว่า เหตุผลคือ เหตุผลที่สำคัญคือ
           2.4 ใช้เหตุผลหลาย ๆ ประกอบกันเข้า เพื่อเป็นการเพิ่มน้ำหนักให้แก่ข้อสรุปของตน โดยแยกแยะเหตุผลเป็นข้อ ๆ ไป เพื่อช่วยให้เข้าใจง่ายขึ้น
กระบวนการแสดงเหตุผลและการอนุมาน
     การอนุมาน หมายถึงกระบวนการคิดในการหาข้อสรุปจากเหตุผลที่มีอยู่ การอนุมานมี 2 ประเภท คือ การอนุมานด้วยวิธีนิรนัย และการอนุมานด้วยวิธีอุปนัย
การอนุมานด้วยวิธีนิรนัย
     การอนุมานด้วยวิธีนิรนัย คือ การแสดงเหตุผลจากส่วนรวม ไปหาส่วนย่อยหรือการอนุมาน จากหลักความจริงทั่วไปกับกรณีเฉพาะกรณีหนึ่ง แล้วอนุมาน ได้ข้อสรุป ซึ่งเป็นกรณีเฉพาะอีกกรณีหนึ่ง เช่น
หลักความจริงทั่วไป- มนุษย์ทั้งปวงต้องการปัจจัยสี่
กรณีเฉพาะกรณีหนึ่ง- ฉันเป็นมนุษย์
กรณีเฉพาะอีกกรณีหนึ่ง- เพราะฉะนั้นฉันต้องการปัจจัยสี่
     หรืออาจจะใช้วิธีนิรนัยอย่างย่อเป็น ฉันเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้น ฉันต้องการปัจจัยสี่ หรือนี้จะใช้ข้อมูล หรือข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่เป็นกรณีเฉพาะกี่กรณี ก็ได้ เป็นข้อสนับสนุน เพื่อหาข้อสรุปที่เป็นหลักหรือกฎเกณฑ์ทั่วไป วิธีอุปนัยนี้อาจจะใช้แนวเทียบในการหาข้อสรุปก็ได้
ข้อควรสังเกต ข้อสรุปด้วยวิธีนิรนัย ต้องเป็นเช่นนั้น ,ข้อสรุปด้วยวิธีอุปนัย น่าจะเป็นเช่นนั้น
ความหมายของคำ เหตุ และ ผล
    เหตุ หรือ สาเหตุ หรือมูลเหตุ คือ สิ่งที่ทำให้เกิดสิ่งอื่นตามมา
    ผล หรือ ผลลัพธ์ คือ สิ่งที่เกิดตามมาจากเหตุ
     การอนุมานโดยพิจารณา สาเหตุและผลลัพธ์ที่สัมพันธ์กัน การอนุมานด้วยวิธีนี้คือ การอนุมานแบบวิธีอุปนัยนั่นเอง แบ่งได้ 3 ประเภทด้วยกันคือ
      1. การอนุมานจากสาเหตุไปหาผลลัพธ์ เป็นการอนุมานโดยอาศัยความรู้   ความเข้าใจหาข้อสรุปว่าปรากฎการณ์นั้นทำให้เกิดผลลัพธ์อะไร เช่น ขยันดูหนังสือ (สาเหตุ) -> อนุมาน -> สอบได้ (ผลลัพธ์)

     2. การอนุมานจากผลลัพธ์ไปหาสาเหตุ
เป็นการอนุมานจากปรากฎการณ์หรือเหตุการณ์ โดยอาศัยความรู้และเข้าใจของเรา เพื่อสืบหาสาเหตุ เช่น ผลการสอบ ไม่เป็นที่พอใจ -> อนุมาน -> ความไม่ประมาท ไม่เอาใจใส่
    3. การอนุมานจากผลลัพธ์ไปหาผลลัพธ์
เป็นการอนุมานจากปรากฎการณ์หรือเหตุการณ์อย่างหนึ่ง          ว่าเป็นผลลัพธ์ของสาเหตุใด แล้วพิจารณาต่อไปว่า สาเหตุนั้น อาจจะก่อให้เกิดผลลัพธ์อื่นๆ อีก  ตัวอย่างอนุมานเช่น ตกคณิต (ผลลัพธ์) -> อ่อนคณิต (สาเหตุ) -> ตกฟิสิกส์ (ผลลัพธ์)
     การรู้จักความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผลนี้ ช่วยให้รู้จักพิจารณาสังเกตและทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีระเบียบ
การใช้ภาษาแสดงทรรศนะ
    ทรรศนะ คือ ความคิดเห็นที่ประกอบด้วยเหตุผล
โครงสร้างของการแสดงทรรศนะ ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน คือ
     1.ที่มา คือ ส่วนที่เป็นเรื่องราวต่างๆที่ทำให้เกิดการแสดงทรรศนะ
     2.ข้อสนับสนุน คือ ข้อเท็จจริง หลักการ รวมทั้งทรรศนะหรือมติของผู้อื่น ที่ผู้แสดงทรรศนะนำมาใส่ เพื่อสนับสนุนทรรศนะของตน
     3.ข้อสรุป คือ สารสำคัญที่สุดของทรรศนะ อาจเป็นข้อเสนอแนะ ข้อวินิจฉัย หรือ ประเมินค่า
ความแตกต่างระหว่างทรรศนะของบุคคล
     ทรรศนะของคนในสังคม อาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสิ่งสำคัญ 2 ประการคือ
     1. คุณสมบัติตามธรรมชาติของมนุษย์ ได้แก่ เชาว์ ปฏิภาณ ไหวพริบ ความถนัด เป็นต้น จะพัฒนาได้ เต็มที่ต้องอาศัยการส่งเสริม และสนับสนุนจากสิ่งแวดล้อม
     2. อิทธิพลของสิ่งแวดล้อม ทำให้บุคคลมีลักษณะแตกต่างกันในเรื่องความรู้ ประสบการณ์ความเชื่อและค่านิยมดังนี้
ความรู้ประสบการณ์จะทำให้บุคคลแสดงทรรศนะได้แตกต่างกันไป
ความเชื่อบุคคลแสดงทรรศนะต่างกันตามความเชื่อ ซึ่งได้จากการศึกษาอบรมทางครอบครัว และสิ่งแวดล้อม หรือวัยและประสบการณ์
ค่านิยมคือ ความรู้สึกที่มีอยู่ในจิตใจแต่ละคน เป็นเครื่องกำหนดพฤติกรรมและอิทธิพลต่อการแสดงทรรศนะของบุคคล
ประเภทของทรรศนะ
    1. ทรรศนะเกี่ยวกับข้อเท็จจริง คือ ทรรศนะที่เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วแต่ยังไม่ทราบข้อเท็จจริง  การแสดงทรรศนะประเภทนี้ จึงเป็นเพียงการสันนิษฐาน จะน่าเชื่อถือเพียงใดขึ้นกับข้อสนับสนุน
     2. ทรรศนะเกี่ยวกับคุณค่า ค่านิยมเป็นทรรศนะที่ประเมินว่าสิ่งใดดีหรือด้อย เป็นประโยชน์หรือ โทษ
     3. ทรรศนะเกี่ยวกับนโยบาย เป็นทรรศนะที่บ่งชี้ว่าควรทำอย่างไร อย่างไรต่อไปในอนาคต หรือ ควรแก้ไขปรับปรุงสิ่งใดไปในทางใด อย่างไร การแสดงทรรศนะ เกี่ยวกับนโยบาย มักจะต้องเสนอข้อเท็จจริง เพื่อสนับสนุนนโยบายและประเมินค่านโยบายที่เสนอนั้นด้วย
วิธีใช้ภาษาในการแสดงทรรศนะ
     ภาษาที่ใช้ในการแสดงทรรศนะนั้น จะต้องใช้ถ้อยคำกะทัดรัด ให้คำที่มีความหมายแจ่มชัด การเรียงลำดับ ความไม่สับสน วกวน และต้องใช้ภาษาให้ถูกต้อง กับระดับการสื่อสาร
ลักษณะที่ควรสังเกตในการใช้คำหรือกลุ่มคำในการแสดงทรรศนะ
     1. ใช้สรรพนามบุรุษที่ 1 หรือคำนามที่ประกอบกับกริยาวลีที่ชี้ชัดว่า เป็นการแสดงทรรศนะ เช่น พวกเรามีความเห็นว่า ……… , ข้าพเจ้าเข้าใจว่า…………… , ผมขอสรุปว่า……………..
     2. ใช้คำหรือวลีที่บ่งชี้ว่าเป็นการแสดงทรรศนะ เช่น คำว่า น่า คง คงจะ ควร พึง ตัวอย่าง เช่น รัฐบาลน่าจะทบทวน……. คณะนักเรียนคงเข้าใจผิดว่า……. , โรงเรียนควรจะต้องคำนึงถึง……..
การประเมินค่าทรรศนะ
     1. ประโยชน์และลักษณะสร้างสรรค์ ทรรศนะที่ดีควรก่อให้เกิดประโยชน์ และก่อให้เกิดสิ่งแปลกใหม่ ที่นำไปใช้ประโยชน์ได้ ขณะเดียวกันก็คงสิ่งดีงามของสังคมไว้
     2. ความสมเหตุสมผล ทรรศนะที่ดีจะต้องมีข้อสนับสนุน ที่มีน้ำหนักพอที่จะทำให้ข้อสรุปน่าเชื่อ
     3. ความเหมาะสมกับผู้รับสาระและกาลเทศะ ในการพิจารณา จะต้องพิจารณาด้วยว่าทรรศนะนั้น  แสดงแก่ผู้ใดและในโอกาสใด เพื่อจะประเมินได้ว่า เหมาะสมหรือไม่
       การใช้ภาษา ภาษาที่ใช้ต้องชัดเจน แม่นตรงตามที่ต้องการ และเหมาะสม แก่ระดับการสื่อสารหรือไม่ เพียงใด
การโน้มน้าวใจ
     การโน้มน้าวใจ คือ การใช้ความพยายามที่จะเปลี่ยนความเชื่อ ทัศนคติค่านิยมและการกระทำของบุคคลอื่น ด้วยกลวิธีที่เหมาะสมให้มีผลกระทบใจบุคคลนั้น จนเกิดการยอมรับและยอมเปลี่ยนตามที่ผู้โน้มน้าวใจต้องการ
ความต้องการพื้นฐานของมนุษย์กับการโน้มน้าวใจ
     ความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ เป็นแรงผลักดันให้มนุษย์สร้างทัศนคติความเชื่อค่านิยม รวมทั้งกระทำพฤติกรรมอื่นๆ อีกนานัปการ เพื่อสนองความต้องการ ของตน เมื่อใดก็ตามที่มนุษย์ถูกเร้าจนกระจักษ์ว่าถ้าตนได้ปรับเปลี่ยนความคิดและการกระทำไปตามแนวทางที่ถูกรบเร้านั้นแล้ว ตนก็จะได้รับสิ่ง ซึ่งสนองความต้องการ ขั้นพื้นฐาน ตามความปรารถนา เมื่อนั้นมนุษย์ก็จะตกอยู่ในสภาวะที่ถูกโน้มน้าวใจได้  หลักสำคัญที่สุดของการโน้มน้าวใจคือการทำให้มนุษย์ประจักษ์แก่ใจตนเองว่า ถ้าเชื่อเห็นคุณค่าหรือกระทำตามที่ผู้โน้มน้าวใจชี้แจงหรือชักนำ ก็จะได้รับผลที่ตอบสนองความต้องการขึ้นพื้นฐานของตน
การแสดงให้ประจักษ์ถึงความน่าเชื่อถือของบุคคลผู้โน้มน้าวใจ
1.การแสดงให้ประจักษ์ถึงความน่าเชื่อถือของบุคคลผู้โน้มน้าวใจโดยธรรมดาบุคคลที่มีคุณลักษณะ 3 ประการ คือ มีความรู้จริง มีคุณธรรม และมีความปรารถนาดี ต่อผู้อื่น ย่อมได้รับความเชื่อถือจากบุคคลทั่วไป
2.การแสดงให้ประจักษ์ ตามกระบวนการของเหตุผลผู้โน้มน้าวใจต้องแสดงให้ประจักษ์ว่า เรื่องที่ตนกำลังโน้มน้าวใจมีเหตุผลหนักแน่น และมีคุณค่าควร แก่การยอมรับ อย่างแท้จริง
3.การแสดงให้ประจักษ์ถึงความรู้สึก และอารมณ์ร่วมบุคคลที่มีอารมณ์ร่วมทันย่อมคล้อยตามทันได้ง่ายกว่าบุคคลที่มีความรู้สึกปฏิปักษ์ต่อกัน เมื่อใดที่ผู้โน้มน้าวใจ ค้นพบ และแสดงอารมณ์ร่วมออกมา การโน้มน้าวใจก็จะสัมฤทธิ์ผล
4.การแสดงให้เห็นทางเลือกทั้งด้านดีและด้านเสียผู้โน้มน้าวใจต้องโน้มน้าวผู้รับสารให้เชื่อถือ หรือปฏิบัติเฉพาะทางที่ตนต้องการ โดยชี้ให้ว่าสิ่งนั้น มีด้านที่เป็นโทษ อย่างไร ด้านที่เป็นคุณอย่างไร
5.การสร้างความหรรษาแก่ผู้รับสารการเปลี่ยนบรรยากาศ ให้ผ่อนคลายด้วยอารมณ์ขัน จะทำให้ผู้รับสารเปลี่ยนสภาพจากการต่อต้านมาเป็นความรู้สึกกลางๆ พร้อมที่จะคล้อยตามได้
6.การเร้าให้เกิดอารมณ์อย่างแรงกล้า เมื่อมนุษย์เกิดอารมณ์ขึ้นอย่างแรงกล้า ไม่ว่าดีใจ เสียใจ โกรธแค้น อารมณ์เหล่านี้ มักจะทำให้มนุษย์ไม่ใช่เหตุผลอย่างถี่ถ้วน พิจารณาถึงความถูกต้องเหมาะควร เมื่อมีการตัดสินใจ ก็อาจจะคล้อยไปตามที่ผู้โน้มน้าวใจเสมอแนะได้ง่าย
น้ำเสียงของภาษาที่โน้มน้าวใจ
       ควรใช้ภาษาในเชิงเสนอแนะ ขอร้อง วิงวอน หรือเร้าใจซึ่งในการใช้ถ้อยคำให้เกิดน้ำเสียงดังกล่าว จะต้องเลือกใช้คำที่สื่อความหมายตามที่ต้องการ โดยคำนึงถึง จังหวะและความนุ่นนวลในน้ำเสียง
การพิจารณาสารโน้มน้าวใจลักษณะต่างๆ
1. คำเชิญชวน เป็นการแนะให้ช่วยกันกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง กลวิธีคือ การชี้ให้เห็นผู้ถูกโน้มน้าวใจเกิดความภาคภูมิใจว่า ถ้าปฏิบัติตามคำเชิญชวน จะได้ชื่อว่า เป็นผู้ทำประโยชน์แก่ส่วนรวม
2.โฆษณาสินค้าหรือโฆษณาบริการ ลักษณะสำคัญของโฆษณาสินค้าคือ
2.1 จะมีส่วนนำที่สะดุดหูสะดุดตาซึ่งมีผลทำให้สะดุดใจสาธารณชน
2.2 ตัวสารจะไม่ใช่ถ้อยคำที่ยืดยาว มักเป็นรูปประโยคสั้นๆ หรือวลีสั้นๆ
2.3 เนื้อหาจะชี้ให้เห็นถึงความดีของสินค้า
2.4 ผู้โฆษณาจะโน้มน้าวใจที่มุ่งสนองความต้องการพื้นฐานของมนุษย์
2.5 เนื้อหาของการโฆษณา จะขาดเหตุผลที่หนักแน่นและรัดกุม
2.6 สารโฆษณาจะปรากฎทางสื่อต่างๆ ซ้ำๆ กัน
3.โฆษณาชวนเชื่อ เป็นการพยายามโดยจงใจเจตนา ที่จะเปลี่ยนความเชื่อและการกระทำของบุคคล ให้เป็นไปในทางที่ตนต้องการ ด้วยวิธีต่างๆ โดยไม่คำนึง ถึงความถูกต้อง ของเหตุผลและข้อเท็จจริง ผู้โฆษณามีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนความเชื่อและอุดมการณ์ของคน ให้นิยมเลื่อมใสในอุดมการณ์ฝ่ายตน และกระทำพฤติกรรมต่างๆ ตามที่ฝ่ายโฆษณาชวนเชื่อต้องการ
กลวิธีในการโฆษณาชวนเชื่อ
1.การตราชื่อ เป็นการเบนความสนใจและผู้รับสารไปจากเหตุผลและข้อเท็จจริง ผู้รับสารควรพิจารณาหลักการและเนื้อหาต่างๆ ให้รอบคอบเสียก่อน โดยไม่ใช้ความคิด หรือเหตุผลตรวจสอบ
2.การกล่าวสรุปรวมๆ ด้วยถ้อยคำหรูหรา ผู้โน้มน้าวใจมักจะใช้ถ้อยคำที่ผูกพันความคิด หลักการ บุคคล สถาบันและอุดมการณ์ ทำให้ผู้ฟังเกิดความเชื่อถือ เลื่อมใส ด้วยความคิด บุคคลและสถาบัน
3.การอ้างบุคคลหรือสถาบัน ผู้โฆษณาจะเน้นการใช้วิธีอ้างถึงสถาบันหรือบุคคลที่ทรงคุณวุฒิ เพื่อให้ผู้ฟังเกิดทัศนคติที่ดี หรือเกิดความนิยมชมชอบนโยบาย หลักการหรืออุดมการณ์ของตน
4.การทำเหมือนชาวบ้านธรรมดา ผู้โฆษณาจะเชื่อมโยงตนเองและหลักการหรือความคิดของตน ให้เข้าไปผูกพันกับชาวบ้านเพื่อแสดงตนว่า ตนเป็นพวกเดียวกับ ชนเหล่านั้น
5.การกล่าวแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายตน ผู้โฆษณาจะเลือกนำแต่เฉพาะแง่ที่เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายตนมากล่าวโดยพยายามกลบเกลื่อนแง่อื่นที่เป็นโทษ
6.การอ้างคนส่วนใหญ่ ผู้โฆษณาชวนเชื่อพยายามชักจูงให้ผู้รับสารเกิดความตระหนักว่าคนส่วนใหญ่ประพฤติปฏิบัติเช่นนี้
   การโน้มน้าวใจจะเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ ก็ต่อเมื่อ ผู้โน้มน้าวใจมีเจตนาที่ลวง กลบเกลื่อน หรือปิดบังไม่ให้ผู้รับการได้รับรู้ความจริงและเหตุผลที่จะเป็นต้องรู้
การใช้ภาษาแสดงออกทางความคิด
     มนุษย์สามารถใช้ภาษาแสดงออกทางความคิดของตนได้ในลักษณะต่าง ๆ ดังนี้ คือ
          1.ใช้ภาษาแสดงเหตุผล
          2.ใช้ภาษาแสดงทรรศนะ
          3.ใช้ภาษาในการโต้แย้ง
          4.ใช้ภาษาในการโน้มน้าวใจ
การใช้ภาษาแสดงเหตุผล 
ความหมายของคำว่าเหตุผล
     เหตุผล หมายถึง ความคิดอันเป็นหลักทั่วไปกฎเกณฑ์ รวมทั้งข้อเท็จจริง ที่สนับสนุนข้อสรุป ข้อวินิจฉัย ข้อตัดสินใจ หรือข้อยุติ เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เนื่องจากเราใช้ เหตุผล ในการสนับสนุน ข้อสรุป เราอาจจะเรียก เหตุผล ว่าข้อสนับสนุนก็ได้ และข้อสรุป เป็นคำกลาง ๆ เป็นศัพท์เฉพาะ ที่เกี่ยวกับการแสดงเหตุผล ในภาษาที่ใช้กันอยู่ตามปกตินั้นอาจเรียกว่า ข้อสังเกต,การคาดคะเน, คำวิงวอน, ข้อคิด, หรือการตัดสินใจ ก็ได้
โครงสร้างของการแสดงเหตุผลและภาษาที่ใช้ในการแสดงเหตุผล
     1. โครงสร้างของการแสดงเหตุผล ประกอบด้วย
            - ตัวเหตุผล หรือเรีรยกว่า ข้อสนับสนุน
            - ข้อสรุป

     2. ภาษาที่ใช้ในการแสดงเหตุผล
มี 4 ลักษณะดังต่อไปนี้
           2.1ใช้สันธานที่จำเป็นบางคำ มักเรียงเหตุผลไว้ก่อนสรุป โดยใช้สันธาน จึง เพราะ เพราะว่า เพราะฉะนั้น เพราะ……จึง หรืออาจเรียงข้อสรุปไว้ก่อนเหตุผล โดยใช้คำสันธาน เพราะ เพราะว่า ทั้งนี้เพราะว่า
           2.2 ไม่ใช้สันธาน แต่เรียบเรียงข้อความโดยวางส่วนที่เป็นเหตุผล หรือส่วนที่เป็นข้อสรุปไว้ให้เหมาะสม  ผู้ฟังก็จะรับสารได้ว่า ข้อความนั้นเป็นการแสดง เหตุผล อยู่ในตัว เช่น ฉันจะไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคใด ๆ เป็นอันขาด ฉันได้รับการสั่งสอนจากคุณแม่ให้สู้เสมอ จะเห็นว่า วรรคแรก เป็นข้อสรุป วรรคที่สอง เป็นเหตุผลที่สนับสนุนข้อสรุป
           2.3 ใช้กลุ่มคำเรียงกันบ่งชี้ว่า ตอนใดเป็นเหตุผล หรือข้อสรุป เมื่อต้องการชี้เหตุผลและข้อสรุป ให้ชัดแจ้งลงไป ก็ระบุไปว่า ข้อสรุป ข้อสรุปว่า เหตุผลคือ เหตุผลที่สำคัญคือ
           2.4 ใช้เหตุผลหลาย ๆ ประกอบกันเข้า เพื่อเป็นการเพิ่มน้ำหนักให้แก่ข้อสรุปของตน โดยแยกแยะเหตุผลเป็นข้อ ๆ ไป เพื่อช่วยให้เข้าใจง่ายขึ้น
กระบวนการแสดงเหตุผลและการอนุมาน
     การอนุมาน หมายถึงกระบวนการคิดในการหาข้อสรุปจากเหตุผลที่มีอยู่ การอนุมานมี 2 ประเภท คือ การอนุมานด้วยวิธีนิรนัย และการอนุมานด้วยวิธีอุปนัย
การอนุมานด้วยวิธีนิรนัย
     การอนุมานด้วยวิธีนิรนัย คือ การแสดงเหตุผลจากส่วนรวม ไปหาส่วนย่อยหรือการอนุมาน จากหลักความจริงทั่วไปกับกรณีเฉพาะกรณีหนึ่ง แล้วอนุมาน ได้ข้อสรุป ซึ่งเป็นกรณีเฉพาะอีกกรณีหนึ่ง เช่น
หลักความจริงทั่วไป- มนุษย์ทั้งปวงต้องการปัจจัยสี่
กรณีเฉพาะกรณีหนึ่ง- ฉันเป็นมนุษย์
กรณีเฉพาะอีกกรณีหนึ่ง- เพราะฉะนั้นฉันต้องการปัจจัยสี่
     หรืออาจจะใช้วิธีนิรนัยอย่างย่อเป็น ฉันเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้น ฉันต้องการปัจจัยสี่ หรือนี้จะใช้ข้อมูล หรือข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่เป็นกรณีเฉพาะกี่กรณี ก็ได้ เป็นข้อสนับสนุน เพื่อหาข้อสรุปที่เป็นหลักหรือกฎเกณฑ์ทั่วไป วิธีอุปนัยนี้อาจจะใช้แนวเทียบในการหาข้อสรุปก็ได้
ข้อควรสังเกต ข้อสรุปด้วยวิธีนิรนัย ต้องเป็นเช่นนั้น ,ข้อสรุปด้วยวิธีอุปนัย น่าจะเป็นเช่นนั้น
ความหมายของคำ เหตุ และ ผล
    เหตุ หรือ สาเหตุ หรือมูลเหตุ คือ สิ่งที่ทำให้เกิดสิ่งอื่นตามมา
    ผล หรือ ผลลัพธ์ คือ สิ่งที่เกิดตามมาจากเหตุ
     การอนุมานโดยพิจารณา สาเหตุและผลลัพธ์ที่สัมพันธ์กัน การอนุมานด้วยวิธีนี้คือ การอนุมานแบบวิธีอุปนัยนั่นเอง แบ่งได้ 3 ประเภทด้วยกันคือ
      1. การอนุมานจากสาเหตุไปหาผลลัพธ์ เป็นการอนุมานโดยอาศัยความรู้   ความเข้าใจหาข้อสรุปว่าปรากฎการณ์นั้นทำให้เกิดผลลัพธ์อะไร เช่น ขยันดูหนังสือ (สาเหตุ) -> อนุมาน -> สอบได้ (ผลลัพธ์)

     2. การอนุมานจากผลลัพธ์ไปหาสาเหตุ
เป็นการอนุมานจากปรากฎการณ์หรือเหตุการณ์ โดยอาศัยความรู้และเข้าใจของเรา เพื่อสืบหาสาเหตุ เช่น ผลการสอบ ไม่เป็นที่พอใจ -> อนุมาน -> ความไม่ประมาท ไม่เอาใจใส่
    3. การอนุมานจากผลลัพธ์ไปหาผลลัพธ์
เป็นการอนุมานจากปรากฎการณ์หรือเหตุการณ์อย่างหนึ่ง          ว่าเป็นผลลัพธ์ของสาเหตุใด แล้วพิจารณาต่อไปว่า สาเหตุนั้น อาจจะก่อให้เกิดผลลัพธ์อื่นๆ อีก  ตัวอย่างอนุมานเช่น ตกคณิต (ผลลัพธ์) -> อ่อนคณิต (สาเหตุ) -> ตกฟิสิกส์ (ผลลัพธ์)
     การรู้จักความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผลนี้ ช่วยให้รู้จักพิจารณาสังเกตและทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีระเบียบ
การใช้ภาษาแสดงทรรศนะ
    ทรรศนะ คือ ความคิดเห็นที่ประกอบด้วยเหตุผล
โครงสร้างของการแสดงทรรศนะ ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน คือ
     1.ที่มา คือ ส่วนที่เป็นเรื่องราวต่างๆที่ทำให้เกิดการแสดงทรรศนะ
     2.ข้อสนับสนุน คือ ข้อเท็จจริง หลักการ รวมทั้งทรรศนะหรือมติของผู้อื่น ที่ผู้แสดงทรรศนะนำมาใส่ เพื่อสนับสนุนทรรศนะของตน
     3.ข้อสรุป คือ สารสำคัญที่สุดของทรรศนะ อาจเป็นข้อเสนอแนะ ข้อวินิจฉัย หรือ ประเมินค่า
ความแตกต่างระหว่างทรรศนะของบุคคล
     ทรรศนะของคนในสังคม อาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสิ่งสำคัญ 2 ประการคือ
     1. คุณสมบัติตามธรรมชาติของมนุษย์ ได้แก่ เชาว์ ปฏิภาณ ไหวพริบ ความถนัด เป็นต้น จะพัฒนาได้ เต็มที่ต้องอาศัยการส่งเสริม และสนับสนุนจากสิ่งแวดล้อม
     2. อิทธิพลของสิ่งแวดล้อม ทำให้บุคคลมีลักษณะแตกต่างกันในเรื่องความรู้ ประสบการณ์ความเชื่อและค่านิยมดังนี้
ความรู้ประสบการณ์จะทำให้บุคคลแสดงทรรศนะได้แตกต่างกันไป
ความเชื่อบุคคลแสดงทรรศนะต่างกันตามความเชื่อ ซึ่งได้จากการศึกษาอบรมทางครอบครัว และสิ่งแวดล้อม หรือวัยและประสบการณ์
ค่านิยมคือ ความรู้สึกที่มีอยู่ในจิตใจแต่ละคน เป็นเครื่องกำหนดพฤติกรรมและอิทธิพลต่อการแสดงทรรศนะของบุคคล
ประเภทของทรรศนะ
    1. ทรรศนะเกี่ยวกับข้อเท็จจริง คือ ทรรศนะที่เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วแต่ยังไม่ทราบข้อเท็จจริง  การแสดงทรรศนะประเภทนี้ จึงเป็นเพียงการสันนิษฐาน จะน่าเชื่อถือเพียงใดขึ้นกับข้อสนับสนุน
     2. ทรรศนะเกี่ยวกับคุณค่า ค่านิยมเป็นทรรศนะที่ประเมินว่าสิ่งใดดีหรือด้อย เป็นประโยชน์หรือ โทษ
     3. ทรรศนะเกี่ยวกับนโยบาย เป็นทรรศนะที่บ่งชี้ว่าควรทำอย่างไร อย่างไรต่อไปในอนาคต หรือ ควรแก้ไขปรับปรุงสิ่งใดไปในทางใด อย่างไร การแสดงทรรศนะ เกี่ยวกับนโยบาย มักจะต้องเสนอข้อเท็จจริง เพื่อสนับสนุนนโยบายและประเมินค่านโยบายที่เสนอนั้นด้วย
วิธีใช้ภาษาในการแสดงทรรศนะ
     ภาษาที่ใช้ในการแสดงทรรศนะนั้น จะต้องใช้ถ้อยคำกะทัดรัด ให้คำที่มีความหมายแจ่มชัด การเรียงลำดับ ความไม่สับสน วกวน และต้องใช้ภาษาให้ถูกต้อง กับระดับการสื่อสาร
ลักษณะที่ควรสังเกตในการใช้คำหรือกลุ่มคำในการแสดงทรรศนะ
     1. ใช้สรรพนามบุรุษที่ 1 หรือคำนามที่ประกอบกับกริยาวลีที่ชี้ชัดว่า เป็นการแสดงทรรศนะ เช่น พวกเรามีความเห็นว่า ……… , ข้าพเจ้าเข้าใจว่า…………… , ผมขอสรุปว่า……………..
     2. ใช้คำหรือวลีที่บ่งชี้ว่าเป็นการแสดงทรรศนะ เช่น คำว่า น่า คง คงจะ ควร พึง ตัวอย่าง เช่น รัฐบาลน่าจะทบทวน……. คณะนักเรียนคงเข้าใจผิดว่า……. , โรงเรียนควรจะต้องคำนึงถึง……..
การประเมินค่าทรรศนะ
     1. ประโยชน์และลักษณะสร้างสรรค์ ทรรศนะที่ดีควรก่อให้เกิดประโยชน์ และก่อให้เกิดสิ่งแปลกใหม่ ที่นำไปใช้ประโยชน์ได้ ขณะเดียวกันก็คงสิ่งดีงามของสังคมไว้
     2. ความสมเหตุสมผล ทรรศนะที่ดีจะต้องมีข้อสนับสนุน ที่มีน้ำหนักพอที่จะทำให้ข้อสรุปน่าเชื่อ
     3. ความเหมาะสมกับผู้รับสาระและกาลเทศะ ในการพิจารณา จะต้องพิจารณาด้วยว่าทรรศนะนั้น  แสดงแก่ผู้ใดและในโอกาสใด เพื่อจะประเมินได้ว่า เหมาะสมหรือไม่
       การใช้ภาษา ภาษาที่ใช้ต้องชัดเจน แม่นตรงตามที่ต้องการ และเหมาะสม แก่ระดับการสื่อสารหรือไม่ เพียงใด
การโน้มน้าวใจ
     การโน้มน้าวใจ คือ การใช้ความพยายามที่จะเปลี่ยนความเชื่อ ทัศนคติค่านิยมและการกระทำของบุคคลอื่น ด้วยกลวิธีที่เหมาะสมให้มีผลกระทบใจบุคคลนั้น จนเกิดการยอมรับและยอมเปลี่ยนตามที่ผู้โน้มน้าวใจต้องการ
ความต้องการพื้นฐานของมนุษย์กับการโน้มน้าวใจ
     ความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ เป็นแรงผลักดันให้มนุษย์สร้างทัศนคติความเชื่อค่านิยม รวมทั้งกระทำพฤติกรรมอื่นๆ อีกนานัปการ เพื่อสนองความต้องการ ของตน เมื่อใดก็ตามที่มนุษย์ถูกเร้าจนกระจักษ์ว่าถ้าตนได้ปรับเปลี่ยนความคิดและการกระทำไปตามแนวทางที่ถูกรบเร้านั้นแล้ว ตนก็จะได้รับสิ่ง ซึ่งสนองความต้องการ ขั้นพื้นฐาน ตามความปรารถนา เมื่อนั้นมนุษย์ก็จะตกอยู่ในสภาวะที่ถูกโน้มน้าวใจได้  หลักสำคัญที่สุดของการโน้มน้าวใจคือการทำให้มนุษย์ประจักษ์แก่ใจตนเองว่า ถ้าเชื่อเห็นคุณค่าหรือกระทำตามที่ผู้โน้มน้าวใจชี้แจงหรือชักนำ ก็จะได้รับผลที่ตอบสนองความต้องการขึ้นพื้นฐานของตน
การแสดงให้ประจักษ์ถึงความน่าเชื่อถือของบุคคลผู้โน้มน้าวใจ
1.การแสดงให้ประจักษ์ถึงความน่าเชื่อถือของบุคคลผู้โน้มน้าวใจโดยธรรมดาบุคคลที่มีคุณลักษณะ 3 ประการ คือ มีความรู้จริง มีคุณธรรม และมีความปรารถนาดี ต่อผู้อื่น ย่อมได้รับความเชื่อถือจากบุคคลทั่วไป
2.การแสดงให้ประจักษ์ ตามกระบวนการของเหตุผลผู้โน้มน้าวใจต้องแสดงให้ประจักษ์ว่า เรื่องที่ตนกำลังโน้มน้าวใจมีเหตุผลหนักแน่น และมีคุณค่าควร แก่การยอมรับ อย่างแท้จริง
3.การแสดงให้ประจักษ์ถึงความรู้สึก และอารมณ์ร่วมบุคคลที่มีอารมณ์ร่วมทันย่อมคล้อยตามทันได้ง่ายกว่าบุคคลที่มีความรู้สึกปฏิปักษ์ต่อกัน เมื่อใดที่ผู้โน้มน้าวใจ ค้นพบ และแสดงอารมณ์ร่วมออกมา การโน้มน้าวใจก็จะสัมฤทธิ์ผล
4.การแสดงให้เห็นทางเลือกทั้งด้านดีและด้านเสียผู้โน้มน้าวใจต้องโน้มน้าวผู้รับสารให้เชื่อถือ หรือปฏิบัติเฉพาะทางที่ตนต้องการ โดยชี้ให้ว่าสิ่งนั้น มีด้านที่เป็นโทษ อย่างไร ด้านที่เป็นคุณอย่างไร
5.การสร้างความหรรษาแก่ผู้รับสารการเปลี่ยนบรรยากาศ ให้ผ่อนคลายด้วยอารมณ์ขัน จะทำให้ผู้รับสารเปลี่ยนสภาพจากการต่อต้านมาเป็นความรู้สึกกลางๆ พร้อมที่จะคล้อยตามได้
6.การเร้าให้เกิดอารมณ์อย่างแรงกล้า เมื่อมนุษย์เกิดอารมณ์ขึ้นอย่างแรงกล้า ไม่ว่าดีใจ เสียใจ โกรธแค้น อารมณ์เหล่านี้ มักจะทำให้มนุษย์ไม่ใช่เหตุผลอย่างถี่ถ้วน พิจารณาถึงความถูกต้องเหมาะควร เมื่อมีการตัดสินใจ ก็อาจจะคล้อยไปตามที่ผู้โน้มน้าวใจเสมอแนะได้ง่าย
น้ำเสียงของภาษาที่โน้มน้าวใจ
       ควรใช้ภาษาในเชิงเสนอแนะ ขอร้อง วิงวอน หรือเร้าใจซึ่งในการใช้ถ้อยคำให้เกิดน้ำเสียงดังกล่าว จะต้องเลือกใช้คำที่สื่อความหมายตามที่ต้องการ โดยคำนึงถึง จังหวะและความนุ่นนวลในน้ำเสียง
การพิจารณาสารโน้มน้าวใจลักษณะต่างๆ
1. คำเชิญชวน เป็นการแนะให้ช่วยกันกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง กลวิธีคือ การชี้ให้เห็นผู้ถูกโน้มน้าวใจเกิดความภาคภูมิใจว่า ถ้าปฏิบัติตามคำเชิญชวน จะได้ชื่อว่า เป็นผู้ทำประโยชน์แก่ส่วนรวม
2.โฆษณาสินค้าหรือโฆษณาบริการ ลักษณะสำคัญของโฆษณาสินค้าคือ
2.1 จะมีส่วนนำที่สะดุดหูสะดุดตาซึ่งมีผลทำให้สะดุดใจสาธารณชน
2.2 ตัวสารจะไม่ใช่ถ้อยคำที่ยืดยาว มักเป็นรูปประโยคสั้นๆ หรือวลีสั้นๆ
2.3 เนื้อหาจะชี้ให้เห็นถึงความดีของสินค้า
2.4 ผู้โฆษณาจะโน้มน้าวใจที่มุ่งสนองความต้องการพื้นฐานของมนุษย์
2.5 เนื้อหาของการโฆษณา จะขาดเหตุผลที่หนักแน่นและรัดกุม
2.6 สารโฆษณาจะปรากฎทางสื่อต่างๆ ซ้ำๆ กัน
3.โฆษณาชวนเชื่อ เป็นการพยายามโดยจงใจเจตนา ที่จะเปลี่ยนความเชื่อและการกระทำของบุคคล ให้เป็นไปในทางที่ตนต้องการ ด้วยวิธีต่างๆ โดยไม่คำนึง ถึงความถูกต้อง ของเหตุผลและข้อเท็จจริง ผู้โฆษณามีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนความเชื่อและอุดมการณ์ของคน ให้นิยมเลื่อมใสในอุดมการณ์ฝ่ายตน และกระทำพฤติกรรมต่างๆ ตามที่ฝ่ายโฆษณาชวนเชื่อต้องการ
กลวิธีในการโฆษณาชวนเชื่อ
1.การตราชื่อ เป็นการเบนความสนใจและผู้รับสารไปจากเหตุผลและข้อเท็จจริง ผู้รับสารควรพิจารณาหลักการและเนื้อหาต่างๆ ให้รอบคอบเสียก่อน โดยไม่ใช้ความคิด หรือเหตุผลตรวจสอบ
2.การกล่าวสรุปรวมๆ ด้วยถ้อยคำหรูหรา ผู้โน้มน้าวใจมักจะใช้ถ้อยคำที่ผูกพันความคิด หลักการ บุคคล สถาบันและอุดมการณ์ ทำให้ผู้ฟังเกิดความเชื่อถือ เลื่อมใส ด้วยความคิด บุคคลและสถาบัน
3.การอ้างบุคคลหรือสถาบัน ผู้โฆษณาจะเน้นการใช้วิธีอ้างถึงสถาบันหรือบุคคลที่ทรงคุณวุฒิ เพื่อให้ผู้ฟังเกิดทัศนคติที่ดี หรือเกิดความนิยมชมชอบนโยบาย หลักการหรืออุดมการณ์ของตน
4.การทำเหมือนชาวบ้านธรรมดา ผู้โฆษณาจะเชื่อมโยงตนเองและหลักการหรือความคิดของตน ให้เข้าไปผูกพันกับชาวบ้านเพื่อแสดงตนว่า ตนเป็นพวกเดียวกับ ชนเหล่านั้น
5.การกล่าวแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายตน ผู้โฆษณาจะเลือกนำแต่เฉพาะแง่ที่เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายตนมากล่าวโดยพยายามกลบเกลื่อนแง่อื่นที่เป็นโทษ
6.การอ้างคนส่วนใหญ่ ผู้โฆษณาชวนเชื่อพยายามชักจูงให้ผู้รับสารเกิดความตระหนักว่าคนส่วนใหญ่ประพฤติปฏิบัติเช่นนี้
   การโน้มน้าวใจจะเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ ก็ต่อเมื่อ ผู้โน้มน้าวใจมีเจตนาที่ลวง กลบเกลื่อน หรือปิดบังไม่ให้ผู้รับการได้รับรู้ความจริงและเหตุผลที่จะเป็นต้องรู้

วัฒนธรรมกับภาษา
          เราอาจมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่าง “วัฒนธรรม” กับ “ภาษา” ได้หลายลักษณะด้วยกัน อาจมองในลักษณะ “การใช้ภาษาอย่างมี
วัฒนธรรม” หรือ “วัฒนธรรมที่แสดงออกในภาษา” ก็ได้ ตัวอย่างความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมและภาษา เช่น คนจีนเมื่อเวลาพบกันจะ
ถามว่า “เจี๊ยะ ฮ้อ บ่วย” แปลว่า ทานข้าวหรือยัง คือทักกันด้วยเรื่องกิน เพราะเมืองจีนคนมากอาหารการกินอัตคัด เรื่องที่ห่วงใยกันหรือ
ที่ต้องคิดถึงก่อนก็คือเรื่องการกิน หรือเจ้าของบ้านญี่ปุ่น มักจะคะยั้นคะยอให้แขกรับประทานอาหาร เพื่อแสดงความตั้งใจจะเลี้ยงจริงๆ
และแสดงความเต็มใจต้อนรับ ในขณะที่คนอเมริกันกลับเฉยๆ กับเรื่องการคะยั้นคะยอดังกล่าว ทำให้ดูเหมือนว่าคนอเมริกันไม่ได้ห่วงใย
หรือตั้งใจเชิญให้แขกรับประทานอาหารจริง เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นวัฒนธรรมที่สามารถมองเห็นได้จากการใช้ภาษา และเป็นวัฒนธรรม
ของแต่ละชาติ ที่ทำให้คนชาตินั้นๆ พูดประโยคอะไรหรือไม่พูดประโยคอะไร ซึ่งแต่ละชาติก็มักจะมีความแตกต่างกันไป

การใช้ภาษาสุภาพ-ไม่สุภาพ
          ประเทศไทยมีวัฒนธรรมที่แสดงออกในภาษาหลายประการ ในที่นี้จะกล่าวถึงวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับ คำสุภาพ ไม่สุภาพ ซึ่งปรากฏชัด
ในการใช้คำราชาศัพท์ ซึ่งมีข้อกำหนดที่เป็นระเบียบแบบแผน เป็นตัวอย่างการใช้ภาษาสุภาพที่ชัดเจน นอกจากนั้นคนไทยยังกำหนดราย
ละเอียดว่าเรื่องใด ถ้อยคำใดที่ควรพูดหรือไม่ควรพูด หยาบคายหรือสุภาพ เป็นคำพูดอย่างขี้ข้าหรืออย่างผู้ดีอีกด้วย ซึ่งการใช้คำพูดอย่าง
ขี้ข้าหรือผู้ดีในที่นี้ ไม่ได้เป็นการวัดกันด้วยฐานะทางสังคมหรือเศรษฐกิจแต่อย่างใด แต่วัดกันด้วยวัฒนธรรม วัดกันด้วยความรู้มากกว่า
ว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด อะไรเสียหาย อะไรไม่เสียหาย
          ในปัจจุบันคนไทยจะคำนึงถึงการใช้ภาษาสุภาพ ไม่สุภาพน้อยลง ทั้งนี้อาจเกิดจากความไม่สนใจ และไม่ได้ให้ความสำคัญกับ
วัฒนธรรมในการใช้ภาษาไทยมากนัก อีกทั้งอาจเกิดจากสภาพสังคมที่เร่งรีบในปัจจุบันมีส่วนทำให้คนในสังคมสนใจแต่เฉพาะสารที่ต้อง
การสื่อเท่านั้น เพราะต้องการความรวดเร็วในการสื่อสาร วัฒนธรรมในการใช้ภาษา โดยเฉพาะการใช้ภาษาสุภาพ ไม่สุภาพ จึงถูกละเลยไป
ทั้งนี้หากการใช้ภาษาที่ไม่สุภาพนั้น เกิดจากความไม่รู้หรือความสับสน เพราะไม่เคยใช้หรือไม่มีโอกาสใช้ภาษาดังกล่าว ผู้ใช้ก็สามารถ
เรียนรู้การใช้ภาษาอย่างสุภาพต่อไปได้ แต่การใช้ภาษาที่ไม่สุภาพ ที่เกิดจากเจตนาของผู้ใช้ตั้งใจใช้เพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องนั้น เป็น
สิ่งที่ควรได้รับการแก้ไขและควรปรับปรุงเป็นอย่างยิ่ง และผู้ใช้ก็ควรจะปรับเปลี่ยนทัศนคติและทำความเข้าใจภาษาให้ถูกต้องต่อไปด้วย
ทั้งนี้จะเป็นการช่วยธำรงภาษาไทยอันดีงามไว้ได้ทางหนึ่ง

ตัวอย่างการใช้ภาษาสุภาพ-ไม่สุภาพ
          การใช้ภาษาที่ไม่สุภาพนั้น เราอาจเรียกได้ว่าเป็น “มลพิษทางภาษา” เป็นมลพิษอย่างหนึ่งที่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อร่างกายโดยตรง
แต่ได้ส่งผลกระทบต่อจิตใจของคนไทยอยู่ทุกวันนี้ มลพิษทางภาษานี้ปรากฏอยู่ทั่วไปตามที่สาธารณะ เช่น คำด่า คำหยาบ คำท้าทายที่
บรรดามือที่ชั่วช้าของสถาบันการศึกษาต่างๆ เขียนตามที่สาธารณะบ้าง รั้วบ้าน ประตูบ้านของผู้อื่นบ้าง เป็นทั้งการประจานตัวเองและทำ
ให้บ้านเมืองสกปรกทั่วไปหมด นอกจากนี้ยังทำร้ายจิตวิญญาณของลูกหลานไทยอีกด้วย มลพิษทางภาษามีมากมาย สามารถแบ่งได้เป็น
ประเภทต่างๆ ตามแหล่งที่พบการใช้ภาษาไม่สุภาพ ดังนี้
          ๑. สถานที่สาธารณะต่างๆ อย่างจารึกของบรรดานักเรียนนักศึกษาที่จารึกไว้ตามรั้วบ้าน และสถานที่ราชการ ตลอดจนตู้โทรศัพท์
สาธารณะและที่อื่นๆ อันพอจะขีดเขียนหรือพ่นเป็นตัวหนังสือได้ โดยส่วนมากผู้ใช้ภาษามักกล่าวว่า โรงเรียนนี้เป็นพ่อโรงเรียนนั้น โรงเรียน
โน้นเป็นพวกสัตว์เลื้อยคลานที่คนไทยรังเกียจ เป็นต้น นอกจากนี้ตามท้องถนนยังพบวรรณกรรมประเภทหนึ่ง เรียกว่า “วรรณกรรมรถ
บรรทุก” คือ ถ้อยคำที่เขียนไว้ตามส่วนต่างๆ ของรถบรรทุก ซึ่งมีทั้งการใช้ภาษาที่ดี อย่างคติต่างๆ เช่น “สุขใจแต่ไร้เกียรติ” “ขับช้าถึงที่
หมาย ขับไวถึงป่าช้า” “เงินจางนางจร” เป็นต้น และก็มีข้อความเป็นจำนวนมากเช่นกันที่เป็นการใช้ภาษาไม่สุภาพ เช่น การใช้คำแสดง
อารมณ์ฉุนเฉียว เช่น “ตามล่าอีตอแหล” “แซงไม่ว่า ปาดหน้าโดนเหยียบ” หรือการใช้คำลามกต่างๆ อย่างเบาที่สุด เช่น “อย่าจูบตูดหนู”
เป็นต้น คำหยาบคำลามกดังกล่าวไม่ใช่แต่ถูกปล่อยปละละเลยให้เขียนขึ้นเท่านั้น ยังปล่อยให้เผยแพร่ตามเส้นทางที่รถวิ่งทั่วทั้งประเทศ
ไทยอีกด้วย นับเป็นระบบการสอนทางไกลแบบหนึ่งก็ว่าได้ นอกจากนี้ตามโรงภาพยนตร์ชั้นสอง ก็มักจะได้เห็นชื่อภาพยนตร์หรือคำโฆษณา
ที่อาจทำให้วัยรุ่นเสียคนได้ เช่น “ระเริงเรียน ระเริงรัก ฉายวันนี้ ควบกับ ไฟสวาทสาวใหญ่” “ทีเด็ดรสสวาท” เป็นต้น
          ๒. หนังสือการ์ตูน หนังสือการ์ตูนเป็นแหล่งที่เด็กและวัยรุ่นรู้จักเป็นอย่างดี หนังสือเหล่านี้จำนวนไม่น้อยที่มีทั้งภาพและคำบรรยาย
ที่ลามกอนาจารเต็มขั้น ผู้ปกครองบางคนอาจคิดว่าเป็นเด็กเพียงแต่อ่านการ์ตูน แต่ไม่อาจรู้เลยว่าการ์ตูนหลายเรื่องที่ลูกติดนั้นเต็มไปด้วย
คำด่า คำบรรยายเรื่องเพศอย่างหยาบๆ จนเด็กเหล่านั้นนำมาเลียนแบบพูดคำหยาบ พูดคำลามกตามกันที่โรงเรียน และเลยมาพูดที่บ้าน
ด้วย นอกจากนี้ยังมีหนังสือประเภททะลึ่งทะเล้นที่วางขายอยู่บนแผงหนังสือทั่วไปเช่นกันที่ทำให้เยาวชนนำภาษาไม่สุภาพเหล่านี้ไปใช้ เช่น
“คุณตะกวนไช กรามใหญ่ จะเดินทางไปตีหม้อที่โรงแรม ๘๐๐ เย็นนี้... หายแล้ว คุณนายชูวับ ขยับรู หลังจากที่นอนป่วยมานาน...” เป็นต้น
หนังสือเหล่านี้จะเป็นตัวสอนและแพร่คำพูดที่ไม่ดีให้แก่เด็กๆ ได้ เมื่อเด็กได้พูดกันจนชินปาก ฟังกันจนชินหูแล้ว ก็ไม่รู้สึกว่าเสียหาย บ้าน
เมืองหรือโรงเรียนจะอบรมอย่างไรก็จะไม่ได้ผล

๓. โทรทัศน์ โทรทัศน์เป็นแหล่งมลพิษทางภาษาอีกแหล่งหนึ่ง เมื่อก่อนมักพบอยู่ในโฆษณา เช่น โฆษณาน้ำยาเติมหม้อน้ำรถยนต์
ว่า “ใช้แล้วหม้อน้ำของหนูเย้นเย็น” โฆษณาขายตู้เย็นที่แถมผ้าขนหนู มีผู้หญิงนุ่งผ้าขนหนูออกมาโฆษณาว่า “หนูแถมหมดเนื้อหมดตัว
เลยค่ะ” เป็นต้น ถ้านักโฆษณายังไม่เลิกโฆษณาแบบมีพิษเช่นนี้แล้ว ก็ควรที่จะต้องมีผู้ควบคุมอย่างเข้มงวดด้วย นอกจากนี้ละครโทรทัศน์
เรื่องที่มีการกล่าวคำหยาบคายหรือที่เรียกกันว่า “ด่าแหลก” นั้น ก็เป็นแหล่งมลพิษทางภาษาอีกแหล่งหนึ่ง ที่เป็นแหล่งเผยแพร่ภาษาไม่
สุภาพได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพเช่นกัน แม้แต่รายการโทรทัศน์ก็เกิดมลพิษทางภาษาขึ้นได้ มักเป็นการใช้คำผิดซึ่งส่วนหนึ่งเกิด
จากการใช้คำจนติดหรือเพื่อสร้างความเร้าใจ หรือความแปลกใหม่ เช่น ในรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งผู้ดำเนินรายการต้องการให้
อาจารย์มหาวิทยาลัย ๔ คน ตอบปัญหาเดียวกัน ผู้ดำเนินรายการได้ใช้คำพูดว่า “ต่อไปนี้ผมจะต้องข่มขืนอาจารย์ทั้ง ๔ ท่าน ให้ตอบปัญหา
ข้อนี้ให้ได้” การใช้คำ “ข่มขืน” หรือแม้แต่คำว่า “บังคับ” ถือเป็นการใช้คำที่ผิดมารยาทอย่างมาก ฟังแล้วเหมือนจะมีการข่มขืนกันจริงๆ
การลดมลพิษทางภาษาลักษณะเช่นนี้ นอกจากผู้ดำเนินรายการจะพิจารณาเปลี่ยนแปลงแก้ไขการใช้ภาษาของตนแล้ว ผู้ปกครองที่ดูรายการ
อยู่ก็ควรแนะนำการใช้ภาษาดังกล่าวให้แก่เด็กๆ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องด้วย
          ๔. หนังสือพิมพ์ โดยเฉพาะพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ การพาดหัวข่าวนั้นมีข้อจำกัดเรื่องเนื้อที่ และการที่ต้องสร้างความน่าสนใจแก่
ผู้อ่านก็จริง เช่น มีการตัดคำ มีการใช้ภาษาสแลง เช่น “ฝ่ายค้านอัดรัฐบาลยับ” “ชวนโยนระเบิดบรรหาร” “ดันสุชาติ...” เป็นต้น แต่มัก
ปรากฏการใช้คำพูดโกหกและคำหยาบ ซึ่งเป็นการใช้ภาษาที่ไม่สุภาพ ขัดจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพหนังสือพิมพ์และทำลายศักดิ์ศรีของ
หนังสือพิมพ์อยู่ด้วยเสมอ เช่น เพียงแต่พบรอยเสือใกล้หมู่บ้านก็พาดหัวว่า “เสือโคร่งบุกหมู่บ้าน” หรือมีการใช้คำหยาบ เช่นพาดหัวข่าว
เกี่ยวกับการแข่งขันฟุตบอลโลกว่า “หมูเตะสก็อตกระโปรงแหก” ข่าวการเมือง เช่น “ถีบหัวปชป. ไล่ออกจากรัฐบาล” เป็นต้น การใช้คำว่า
“แหก” และ “ถีบ” ในบริบทดังกล่าวแม้จะเป็นการใช้คำที่สร้างความสนใจ แปลก และทำให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกได้แต่ก็ถือว่าเป็นการใช้
คำไม่สุภาพ จากลักษณะการใช้ภาษาเช่นนี้จึงน่าจะเป็นตัวอย่างในการพิจารณาเพื่อตั้งข้อสังเกตได้ว่า ภาษาสื่อมวลชนนั้น เราจะยอมรับให้
แปลก หรือให้อารมณ์อย่างไม่มีขีดจำกัดโดยถือว่าเป็นความสร้างสรรค์ดีหรือไม่ หรือน่าจะมีกฎเกณฑ์กันบ้างว่าอย่างไรสร้างสรรค์ อย่างไร
ไม่สร้างสรรค์
          ๕. การพูดจาในชีวิตประจำวัน เกี่ยวกับการกล่าวชม ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีคำใช้เป็นจำนวนมาก เมื่อเราต้องการกล่าวชื่นชม
ใครเราก็มักจะสรรหาถ้อยคำที่มีความหมายไปในทางบวก ซึ่งเป็นถ้อยคำที่ดีที่คิดว่าจะทำให้ผู้ฟังพอใจได้ แต่ในบางครั้งกลับพบว่าถ้อยคำ
ดังกล่าวก็อาจทำให้ผู้ฟังรู้สึกไม่พอใจได้เช่นกัน หากเป็นการใช้ที่ไม่ถูกกาลเทศะไม่ถูกบุคคลหรือสถานที่ นับเป็นการใช้ภาษาไม่สุภาพ
ประการหนึ่ง ตัวอย่างเช่น ผู้ใหญ่คราวพ่อชมเด็กสาวคราวลูกว่า สวย ขาว เนียน แม้คำดังกล่าวจะเป็นคำที่มีความหมายไปในทางที่ดีก็ตาม
แต่นับว่าการใช้ภาษาในสถานการณ์เช่นนี้เป็นการใช้ที่ไม่เหมาะสม เพราะการพูดจาเรื่องเกี่ยวกับร่างกายหรืออวัยวะต่างๆ ของผู้หญิงไทย
นั้นถือเป็นการละลาบละล้วง จากคำชมว่า สวย ขาว เนียน จึงอาจถูกผู้ฟังตีความเอาว่าเป็นการจ้องมองสำรวจดูผิวพรรณ ซึ่งย่อมจะแฝง
ความปรารถนาทางเพศไว้ด้วย ผู้ฟังอาจไม่พอใจได้ และยิ่งเป็นคำพูดของผู้ใหญ่ด้วยแล้วก็อาจจะทำให้ผู้ฟังดูหมิ่นผู้พูด ผู้ใหญ่คนนั้นอาจ
“ถูกเด็กถอนหงอก” ได้ จะเห็นได้ว่าคำพูดที่เราพูดกันนั้นมักจะแฝงวัฒนธรรมของชาติไว้ ความหมายของคำถ้าเปิดตามพจนานุกรมอาจ
จะมีไม่มากนัก แต่เมื่อคำนึงถึงนัยของวัฒนธรรมแล้ว จะพบความหมายลึกซึ้งที่ซ่อนเร้นอยู่อีกมากมาย

ข้อสังเกตเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทยในการใช้ภาษาบางประการ
          ๑. ธรรมเนียมไทยถือว่าผู้ใหญ่ล้อเล่นหรือให้ความสนิทสนมกับเด็กนับเป็นการให้ความเมตตา ถ้าเด็กถือเอาความเมตตานั้นเป็น
โอกาสให้พูดล้อผู้ใหญ่เล่น แม้จะด้วยความรัก ท่านก็ถือว่าไม่งาม เป็นเรื่องเสียมารยาท เด็กสมัยใหม่มักจะขาดมารยาทข้อนี้ มักไม่รู้จัก
ความพอดี ทำให้พูดล่วงเกินผู้ใหญ่ หรือพูดจาตีเสมอผู้ใหญ่ แม้จะเป็นการพูดโดยไม่ได้มีเจตนาร้ายก็ตาม
          ๒. ธรรมเนียมไทยนั้น ผู้ใหญ่ที่ดีท่านย่อมรู้ตัวว่าท่านทำอะไรดีหรือไม่ ท่านแก้ไขตัวเองได้ ไม่ใช่หน้าที่ผู้น้อยที่จะตำหนิ ยิ่งเป็น
ผู้ใหญ่ของบ้านเมืองถ้าท่านทำอะไรผิด ผลงานจะเป็นตัวตำหนิท่านเอง
          ๓. วัฒนธรรมไทยนั้นถือว่าสิ่งที่ไม่งาม สิ่งที่น่ารังเกียจไม่ควรนำมาแสดง การนำสิ่งที่ไม่ดีของผู้อื่นออกมาแสดงนั้น ถือเป็นการ
ประจานผู้อื่น เป็นเรื่องเสียมารยาทอย่างยิ่ง
          ๔. การคำนึงถึงการใช้ภาษาให้สุภาพนั้น บางครั้งทำให้เกิดความฟุ่มเฟือยขึ้น มักเป็นการใช้คำมากแต่กินความน้อย ทั้งนี้เพราะ
ความพยายามสุภาพ และแสดงความเกรงใจจนทำให้ลืมเนื้อหาที่ต้องการสื่อสารไป เช่นตัวอย่างการเขียนข้อความบอกอาจารย์ของ
นักศึกษาที่กล่าวว่า “ดิฉันมากราบรบกวนอาจารย์ จะรบกวนถามเรื่อง... ถ้าจะมากราบเรียนอีก อาจารย์จะสะดวกวันไหน โปรดกรุณาเขียน
วันที่ให้ทราบด้วย ขอบพระคุณค่ะ” เป็นต้น ในการเขียนนั้นควรเขียนให้กระชับ ตรงไปตรงมาไม่เยิ่นเย้อ และได้สาระสำคัญ ทั้งไม่ควรใช้
ภาษาที่ผิดธรรมเนียมหรือวัฒนธรรมไทยด้วย

ภาษาจึงไม่ใช่แค่เพียงสื่อที่ทำหน้าที่ลำเลียงสารหรือข้อมูลไปยังผู้รับสารเท่านั้น ภาษายังสะท้อนวัฒนธรรมของผู้ส่งสารออกมาด้วย
แม้สารจะถูกต้องชัดเจนแต่หากขาดความสุภาพความเหมาะสมต่อสถานการณ์ บุคคล หรือเวลาแล้ว การสื่อสารนั้นก็สัมฤทธิ์ผลได้ยาก
ดังนั้นลองนึกทบทวนสักนิดว่าเราได้ใช้ภาษาสุภาพหรือยัง หากยังควรปรับเปลี่ยนทัศนคติและทำความเข้าใจภาษาให้ถูกต้อง ไม่เช่นนั้น
ท่านอาจเป็นคนหนึ่งที่เพิ่ม “มลพิษทางภาษา” ให้กับสังคมและลูกหลานไทยก็เป็นได้

          * หมายเหตุ สรุปความและแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมจากบทความเรื่อง “ชมอย่างขี้ข้า ด่าอย่างผู้ดี” “ เขาจะข่มขืนกันทางทีวี”
“มลพิษทางภาษา” “ใช้ภาษาอย่าลืมวัฒนธรรมไทย ” จากหนังสือวิพากษ์การใช้ภาษาไทย ของ ศาสตราจารย์ ปรีชา ช้างขวัญยืน และ
บทความเรื่อง “ฟุ่มเฟือยอย่างสุภาพ” จากหนังสือหนังสือชุดความรู้ภาษาไทย อันดับที่ ๑๗ สมพร จารุนัฎ สถาบันภาษาไทย กรมวิชาการ
กระทรวงศึกษาธิการ


        

เอกสารอ้างอิง
...........................................................................................................................
ปรีชา ช้างขวัญยืน. วิพากษ์การใช้ภาษาไทย. กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2540
สมพร จารุนัฏ. ภาษาไทยวันนี้ เล่ม ๒. กรุงเทพมหานคร: สถาบันภาษาไทย กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, 2541
อนุมานราชธน, พระยา. งานนิพนธ์ชุดสมบูรณ์ของศาสตราจารย์ พระยาอนุมานราชธน หมวดวัฒนธรรม
เรื่อง รวมเรื่องเกี่ยวกับวัฒนธรรม. กรุงเทพมหานคร: กรมศิลปากร, 2532



น้ำตกพลิ้ว (Namtok Phlio)

ที่ตั้งและแผนที่
สถานที่ติดต่อ : 41 หมู่ 12 ต. พลิ้ว อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี 22190 และครอบคลุมพื้นที่
อ.เมือง อ.แหลมสิงห์ อ.มะขาม และ
อ.ขลุง จ.จันทบุรี

โทรศัพท์ : 0 3943 4528 (VoIP)
โทรสาร : 0 3943 4528 (VoIP)

อีเมล : namtokphlio@hotmail.com

หัวหน้าอุทยานแห่งชาติ : นายชิษณุพงศ์ พรหมสัมฤทธิ์

อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว มีพื้นที่ครอบคลุมท้องที่อำเภอเมือง อำเภอแหลมสิงห์ อำเภอขลุง และอำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี ประกอบด้วยป่าที่สมบูรณ์ เทือกเขาสูงสลับซับซ้อนเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารหลายสาย และมีเอกลักษณ์ทางธรรมชาติ คือ น้ำตกพลิ้วที่สวยงาม มีน้ำตกตลอดปี เป็นที่รู้จักของประชาชนทั่วไป ซึ่งอยู่ห่างจากจังหวัดจันทบุรีประมาณ 14 กิโลเมตร ถนนลาดยางตลอดสายทำให้สะดวกสบายในการไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ มีเนื้อที่ประมาณ 134.50 ตารางกิโลเมตร หรือ 84,062.50 ไร่

ความเป็นมา : ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2502 ให้กำหนดป่าเขาสระบาป จังหวัดจันทบุรี และป่าอื่นๆ ในท้องที่จังหวัดต่างๆ รวม 14 ป่า เป็นอุทยานแห่งชาติ ในขั้นแรกกรมป่าไม้ได้กำหนดพื้นที่ที่ดินป่าน้ำตกพลิ้ว-เขาสระบาป ให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติในปี พ.ศ. 2505 ออกตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและสงวนป่า พุทธศักราช 2481 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2504 และในปี พ.ศ. 2515 ได้ดำเนินการพัฒนาและปรับปรุงบริเวณน้ำตกพลิ้ว จัดตั้งเป็นวนอุทยานน้ำตกพลิ้ว อยู่ในความควบคุมดูแลของสำนักงานป่าไม้จังหวัดจันทบุรี

ในคราวประชุมคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2517 เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2517 ได้มีมติให้รีบดำเนินการประกาศพื้นที่ป่าที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2502 เป็นอุทยานแห่งชาติโดยเร็ว และจังหวัดจันทบุรีได้มีหนังสือด่วนมาก ที่ จบ.09/1401 ลงวันที่ 31 มกราคม 2517 ขอให้กรมป่าไม้ส่งเจ้าหน้าที่ไปประจำวนอุทยานน้ำตกพลิ้ว เพื่อปรับปรุงให้เป็นไปตามหลักการจัดการวนอุทยาน ประกอบกับในปี 2517 กองอุทยานแห่งชาติมีแผนงานจัดบริเวณดังกล่าวเป็นอุทยานแห่งชาติ ดังนั้นในเดือนมีนาคม 2517 กรมป่าไม้จึงมีคำสั่งที่ 360/2517 ลงวันที่ 28 มีนาคม 2517 ให้นายสินไชย บูรณะเรข นักวิชาการป่าไม้ตรี และนายประชุม ตัณยะบุตร พนักงานโครงการชั้น 2 ไปทำการสำรวจหาข้อมูลบริเวณป่าน้ำตกพลิ้ว เขาสระบาป ในท้องที่จังหวัดจันทบุรี ปรากฏว่า บริเวณดังกล่าวประกอบด้วยเทือกเขาสลับซับซ้อน เป็นต้นน้ำลำธาร เช่น น้ำตก หน้าผา ถ้ำ ตามหนังสือรายงานผลการสำรวจ ที่ กส 0708(อส)/7 ลงวันที่ 28 มิถุนายน 2517

กรมป่าไม้ได้นำเสนอคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ซึ่งมีมติในคราวประชุมครั้งที่ 6/2517 เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2517 เห็นชอบให้กำหนดที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นอุทยานแห่งชาติ โดยได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าน้ำตกพลิ้ว-เขาสระบาป ในท้องที่ตำบลพลับพลา ตำบลคลองนารายณ์ ตำบลคมบาง อำเภอเมืองจันทบุรี ตำบลพลิ้ว อำเภอแหลมสิงห์ ตำบลมะขาม อำเภอมะขาม และตำบลมาบไพ ตำบลวังสรรพรส ตำบลตรอกนอง ตำบลซึ้ง ตำบลตะปอน ตำบลเกวียนหัก อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 92 ตอนที่ 87 ลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2518 เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 11 ของประเทศไทย โดยใช้ชื่อว่า " อุทยานแห่งชาติเขาสระบาป "

ต่อมานายผจญ ธนมิตรามณี หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาสระบาป ได้มีหนังสือ ที่ กษ 0708 (สบ)/พิเศษ ลงวันที่ 1 มีนาคม 2525 ขอเปลี่ยนชื่ออุทยานแห่งชาติเขาสระบาปเป็นอุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว เนื่องจากน้ำตกพลิ้วเป็นน้ำตกที่มีความสวยงามตามธรรมชาติเป็นจุดเด่นของอุทยานแห่งชาติ เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวและประชาชนโดยทั่วไปเป็นเวลานานแล้ว ซึ่งคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติได้มีมติในคราวประชุมครั้งที่ 3/2525 เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2525 เห็นชอบให้เปลี่ยนชื่อเป็น " อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว "

ขนาดพื้นที่
84062.50 ไร่

หน่วยงานในพื้นที่
- หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ที่ พล.1 (น้ำตกตรอกนอง)
- หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ที่ พล.2 (บ้านอ่าง)
- หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ที่ พล.3 (น้ำตกคลองนารายณ์)
- หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ที่ พล.4 (น้ำตกมะกอก)
- หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ที่ พล.5 (กงสีไร่)
- หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติชั่วคราว ที่ พล.6 (น้ำตกคลองลาง)
- หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติชั่วคราว ที่ พล.7 (เขาอ่าง)

ลักษณะภูมิประเทศ
อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว มีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขา และเทือกเขาสูงสลับซับซ้อนมีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางอยู่ในช่วง 20-924 เมตร ค่อย ๆ ลาดลงไปทางทิศใต้ มีที่ราบแคบ ๆ ทั่วไปบริเวณไหล่เขา พื้นที่มีความลาดชันสูง จุดสูงสุดของพื้นที่อยู่ยอดเขามาบหว้ากรอก มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 924 เมตร ลักษณะทางธรณีวิทยาส่วนที่เป็นหิน ส่วนใหญ่เป็นหินอัคนีประเภทหินแกรนิต ในบริเวณตอนกลางของพื้นที่ ลักษณะภูมิประเทศที่เป็นเทือกเขาสูงชันสลับซับซ้อน ที่ประกอบไปด้วยป่าดงดิบที่สมบูรณ์ทำให้บริเวณนี้กลายเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารที่มีลำห้วยเล็ก ๆ หลายสาขา ที่มีน้ำไหลตลอดปี เช่น คลองนารายณ์ คลองพลิ้ว คลองตรอกนอง คลองมะกอก คลองซึ้ง คลองขลุง กระจายอยู่รอบพื้นที่ตอนกลางของพื้นที่เป็นสันเขาสูงชัน

ลักษณะภูมิอากาศ
ลักษณะอุตุนิยมวิทยาโดยทั่วไปอุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้วตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกของประเทศไทยอยู่ภายใต้อิทธิพลลมมรสุม ซึ่งมีระบบการพัดเวียนประจำเป็นฤดูกาล โดยพัดจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เรียกว่า ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นลมที่พัดมาจากประเทศจีน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน – เดือนกุมพาพันธ์ ทำให้เกิดฤดูหนาวซึ่งไม่ถึงกับหนาวจัด อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปี 26.8 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 31.6 องศาเซลเซียส ส่วนอุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย 23.2 องศาเซลเซียส ลมมรสุมอีกชนิดหนึ่ง คือ ลมมรสุมตะวันออกตกเฉียงใต้ พัดมาจากมหาสมุทรจะพัดพาเอาความชื้นและไอน้ำจากทะเลเข้ามาทำให้เกิดฤดูฝน อากาศชุ่มชื้นและมีฝนตกชุกปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยตลอดปีค่อนข้างสูงมากกว่า 2,000 มิลลิเมตรต่อปี และในช่วงเปลี่ยนฤดูลมมรสุมตั้งแต่เดือนมีนาคม – เดือนเมษายน จะเป็นฤดูร้อน ซึ่งอากาศจะร้อนอบอ้าวก่อนที่จะเริ่มฤดูฝนต่อไปในเดือนพฤษภาคม

พืชพันธุ์และสัตว์ป่า
1. เป็นพื้นที่ที่รวบรวมความหลากหลายทางชีวภาพของพันธุ์พืชสภาพเป็นป่าดิบชื้นมีปริมาณฝนเฉลี่ยตลอดปีกว่า 2,000 มิลลิเมตร (อุณหภูมิสูงสุดมากกว่า 30 องศาเซลเซียส) เป็นที่รวบรวมพันธุ์ไม้หลายชนิดในป่าดิบชื้นของอุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว ที่มีความหลากหลายสามารถแบ่งตามชั้นเรือนยอดได้ ดังนี้

*เรือนยอดชั้นบนเป็นยอดที่ปกชั้นบนสุดของป่า ไม้มีขนาดสูงใหญ่การกระจายปกคลุมพื้นที่ประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ ไม้เด่นได้แก่ พุงทะลาย (Scaphium macropodum), เคี่ยมคะนอง (Shozea henryana), พนอง (S.hypochra), ตะเคียนหิน (Hopea ferrea), ยางแดง (Dipterocarpus turbinatus) เป็นต้น
ไม้ชั้นนี้มีความหนาแน่นสูงกว่าไม้ชั้นบนมาก การปกคลุมเรือนยอดประมาณ 95 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ชั้นบนมีเพียง 60 เปอร์เซ็นต์ ความสูงเฉลี่ยประมาณ 19 เมตร มีความหลากหลายชนิดมากกว่าไม้ชั้นบน ชนิดพันธุ์ไม้ที่พบ ได้แก่ คอเหี้ย (Xerospermum intermedium), กฤษณา (Aquiloaria crassna), เหมือดคนตัวแม่ (Helicia excelsa), หย่อง (Archidendron quocense), นู้ดต้น (Prunus arborea var.montana), กระท้อน (Sandoricum indicum) เป็นต้น รวม 28 ชนิด นอกจากนี้ตามลำต้นของไม้ชั้นนี้พบพืชอิงอาศัยหลายชนิดเกาะอยู่บนลำต้นและกิ่งก้าน ได้แก่ ชายผ้าสีดา , กระแตไต่ไม้ , ข้าหลวงหลังลาย , ย่านลิ้นควาย , เกล็ดนาคราช นอกจากนี้ยังพบพืชในวงศ์กล้วยไม้โดยเฉพาะเหลืองจันทบูร ที่มีรูปทรงสวยงามและมีสีสันสดใส (มีถิ่นกำเนิดบริเวณจังหวัดจันทบุรี) พืชอีกกลุ่มหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในสังคมป่าดิบก็คือ กลุ่มไม้เถาว์ ได้แก่ พญาปล้องทอง , เถาว์คัน , กำแพงเจ็ดชั้น และพืชจำพวกหวาย เป็นต้น

*เรือนยอดชั้นล่าง เป็นชั้นที่มีความหนาแน่นน้อยกว่าไม้ชั้นรองความสูงไม่เกิน 5 เมตร ชนิดพันธุ์ไม้ส่วนใหญ่มักจะเป็นลูกไม้ของไม้ชั้นรองมีพันธุ์ไม้ประมาณ 36 ชนิด นอกจากนี้ยังมีไม้คลุมพื้นป่าอีกหลายชนิดที่ขึ้นปะปนด้วยสภาพป่าที่มีความหนาแน่นของชั้นเรือนยอด จึงช่วยในการปกคลุมดินช่วยลดการพังทลายของหน้าดินช่วยเก็บกักความชื้น และให้น้ำถูกเก็บสะสมไว้ในดินได้เป็นอย่างดี ทำให้มีศักยภาพในการระบายน้ำออกสู่ลำธารได้ตลอดทั้งปี


2. เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพของสัตว์ป่า
พื้นที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้วมีสภาพป่าดงดิบชื้นที่สมบูรณ์มาก แต่เนื่องจากสภาพพื้นที่โดยรอบเป็นที่ราบมีถนนแอสฟัลส์ทางหลวงท้องถิ่นล้อมรอบพื้นที่ ผืนป่าแห่งนี้ไม่ติดต่อกับป่าอนุรักษ์แห่งอื่น จึงทำให้เกิดระบบนิเวศของสัตว์ที่จำกัดเขตอยู่ในพื้นที่ มีนกประจำถิ่นเป็นจำนวนมากที่สำคัญ เช่น ไก่ฟ้าหลังเงินจันทบูรณ์ ตลอดจนสัตว์ที่เป็นเอกลักษณ์ของป่าดงดิบชื้นหลายชนิด เช่น ชะนีมงกุฎ เป็นต้น เป็นสัตว์ป่าสงวนตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 จำนวน 1 ชนิด ได้แก่ เลียงผา (Naemorhecus sumatraensis)

สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม (Mammals)
พบรวม 9 อันดับ 22 วงศ์ 38 ชนิด เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง จำนวน 12 ชนิด ชนิดสัตว์ที่พบมากที่สุด เป็นพวกสัตว์ฟันแทะในอันดับ Rodentia มีจำนวน 8 ชนิด รองลงมาได้แก่ พวกค้างคาว ในอันดับ Chiroptera มีจำนวน 7 ชนิด พวกสัตว์กินเนื้อหรือผู้ล่าในอันดับ Carnivora ที่มีในรายงานการศึกษามากที่สุดจำนวน 11 ชนิด แต่สำรวจพบโดยตรงเพียง 4 ชนิด พวกสัตว์กินพืชหรือพวกสัตว์กีบมีพบเฉพาะสัตว์กีบคู่ในอันดับ Artiodactyla มี 4 ชนิด พวกลิงค่าง ในอันดับ Primate สำรวจโดยตรง 4 ชนิด นอกจากนี้สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีความหลากชนิดในแต่ละวงศ์ แต่ละอันดับน้อย ได้แก่ ลิ่นชวา ในอันดับ Pholidota วงศ์ Manidae หนูผีจิ๋ว ในอันดับ Insectivora วงศ์ soicidae กระแตเหนือ ในอันดับ Scandentia วงศ์ Tupaiidae และบ่าง ในอันดับ Dermoptera วงศ์ Cynocephalida

นก (Bird)
พบรวม 15 อันดับ 43 วงศ์ 149 ชนิด นกที่พบส่วนใหญ่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 กลุ่มพวกนกที่มากที่สุด เป็นพวกนกจับคอน พบมากกว่าร้อยละ 50 ของนกที่สำรวจพบทั้งหมด นอกเหนือจากนกจับคอนดังกล่าวแล้ว นกกลุ่มพวกอื่น มีจำนวน 70 ชนิด กลุ่มพวกนกที่มีความหลากชนิดมากที่สุด คือ พวกนกโพระดกและนกหัวขวาน พบ 13 ชนิด และพวกนกกระเต็น นกจาบคา นกเงือก และนกตะขาบทุ่ง พบ 13 ชนิด กลุ่มพวกนกที่พบมากรองลงมาเป็นพวกนกเขาและนกพิราบ พบ 13 ชนิด พวกเหยี่ยว พบ 6 ชนิด พวกนกเค้า พวกไก่ฟ้า พบ 9 ชนิด นอกจากนี้ มีความหลากชนิดน้อยเพียง 1-2 ชนิด ได้แก่ พวกนกยาง พวกนกคุ่มแท้ พวกนกแก้ว และพวกนกตบยุง มีพบอันดับละ 2 ชนิด ส่วนนกเป็ด นกนางแอ่น และนกขุนแผน มีพบอันดับละชนิดเท่านั้น

สัตว์เลื้อยคลาน (Reptiles)
พบรวม 2 อันดับ 13 วงศ์ 59 ชนิด สัตว์เลื้อยคลานจำพวกงู (Snakaes) ในอันดับ Squamata อันดับย่อย Serpentes มีความหลากชนิดมากที่สุด จำนวน 27 ชนิด จาก 25 วงศ์ สัตว์เลื้อยคลานที่พบรองลงมาจากงู ในอันดับ Squamata อันดับย่อย Sauria พบรวม 25 ชนิดจาก 5 วงศ์ ได้แก่ พวกจิ้งจก ตุ๊กแก พวกจิ้งเหลน พวกกิ้งก่า นอกจากนี้เป็นพวกสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่และมีเกล็ดคอขนาดใหญ่ พวก Monitors ในวงศ์ Varanidae และวงศ์ Lacertidae พวกสุดท้ายเป็นพวกเต่า ในอันดับ Chelonia พบรวม 7 ชนิดใน 3 วงศ์ ได้แก่ พวกเต่าบก เต่าน้ำและตะพาบตามลำดับ

สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก (Amphibians)
พบรวม 19 ชนิด จาก 1 อันดับ 5 วงศ์ และ 15 สกุล ได้แก่ จำพวกกบ พวกปาด พวกอึ่ง พวกคางคก และพวกอึ่งกราย ฯลฯ

ปลาน้ำจืด
ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว มีแหล่งน้ำที่มีน้ำไหลตลอดปี ไม่ว่าจะเป็นอ่างเก็บน้ำ ลำธาร อ่างน้ำตก ซึ่งมีความเหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของสัตว์น้ำหลายชนิด โดยเฉพาะปลาที่มีหลายชนิด เช่น ปลาสร้อยขาว , ปลากดหิน หรือปลาแขยงหิน , ปลาค้อ , ปลาจิ้งจก , ปลามุง หรือปลาพลวงหิน , ปลาเขยา , ปลากริม , ปลาก้าง , ปลากระทิง เป็นต้น

การเดินทาง
สามารถใช้เส้นทางสายกรุงเทพ-ตราด เลี้ยวซ้ายที่ทางแยกตรงหลักกิโลเมตรที่ 347 ไปยังที่ทำการอุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้วประมาณ 2 กิโลเมตร อุทยานแห่งชาติฯ อยู่ห่างจากตัวเมืองจันทบุรี 14 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากตัวเมืองตราด 55 กิโลเมตร